วันศุกร์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2556

Lionel Messi Top Goals

 



          นักเตะใหม่ล่าสุดของทีม Barcelona


          เนย์มาร์ ปัจจุบัน ย้ายมาค้าแข้งให้กับ "เจ้าบุญทุ่ม" บาร์เซโลน่า โคตรทีมแห่งลาลีก้า สเปน และเป็นดาวยิงเบอร์หนึ่งของทีมชาติบราซิลในตอนนี้ เมื่ออายุได้ 19 กองหน้าดาวรุ่ง ได้รับรางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยมของทวีปแอฟริกา ประจำปี 2011 หลังจากเคยคว้าอันดับ 3 เมื่อปี 2010 
 
          ในปีเดียวกันนั้น (2011) หัวหอกร่างบาง ยังมีชื่อเข้าชิงบัลลังดอร์ พร้อมกับคว้ารางวัล ฟีฟ่า ปุสกัส อีกด้วย จากนั้น เนย์มาร์ ก็คงความยอดเยี่ยมเอาไว้ได้อย่างต่อเนื่อง ด้วยการคว้ารางวัลดังกล่าวในปีถัดมา จุดเด่นของ เนย์มาร์คือ ความเร็ว, สปีดต้น, ทีมชาติบราซิล ยอมรับแล้วว่า ตนเองจะย้ายจาก ซานโต๊ส ในบ้านเกิด ไปค้าแข้งกับทีม บาร์เซโลน่า ในสเปน หลังจากเนื้อหอมได้รับความสนใจจากหลายทีมยักษ์ใหญ่ของยุโรปในช่วงหลายปีที่ผ่านมา…


 
          เนย์มาร์ เกิดที่ โมกี ดาส ครูเซส เซาเปาโล โดยเจ้าตัวเติบโตมาพร้อมกับการรักในการเล่นฟุตซอล และ สตรีทฟุตบอล พ่อของเนย์มาร์คือ เนย์มาร์ ดา ซิลวา ซีเนียร์ อดีตนักฟุตบอล ซึ่งปัจจุบันพ่อของเขา กลายเป็นที่ปรึกษาส่วนตัว (เอเย่นต์) ของ เนย์มาร์ อีกด้วย
 
          ในปี 1992 เนย์มาร์ ย้ายครอบครัวไปอยู่ ที่ เซา บิเซนเต และเป็นจุดเริ่มของการเล่นฟุตบอลระดับเยาวชนกับทีม โปรตูกีซ่า จากนั้นเขาได้เข้าร่วมทีมเยาวชนของซานโต๊ส ในปี 2003 ก่อนที่จะได้เลื่อนชั้นขึ้นมาเล่นทีมชุดใหญ่และประเดิมสนามเป็นครั้งแรกในเกมที่ชนะ โอเอสเต้ 2001 เมื่อวันที่ 7 มี.ค. 2009 ในขณะที่อายุได้เพียง 17 ปี 
 
          เมื่อวันที่ 15 เม.ย. 2010 เนย์มาร์ สร้างความฮือฮาด้วยการเหมาคนเดียว 5 ประตูในเกมที่ช่วยให้ทีมต้อนตือ กัวรานี่ 8-1 ก่อนที่ ซานโต๊ส จะคว้าแชมป์เปาลิสต้า 2010 ไปครองหลังจากที่ชนะซานโต อังเดร ในรอบชิงชนะเลิศ และศูนย์หน้าพรสวรรค์รายนี้ก็คว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยมประจำทัวร์นาเมนต์ไปครอง เมื่อทำได้ถึง 14 ประตูจาก 19 เกม 


 
           ในเดือน มิ.ย. 2010 ซานโต๊ส ได้ปฏิเสธข้อเสนอ 12 ล้านปอนด์ (540 ล้านบาท) จากเวสต์แฮมแบบไม่ต้องคิดหน้าคิดหลัง แต่ต่อมาไม่นานก็มีข่าวว่าเรอัล มาดริด ได้ตกลงเซ็นสัญญาล่วงหน้ากับ เรนาโต้ โรดริเกซ เอเย่นต์ของเนย์มาร์แล้ว ทว่า ซานโต๊ส ยืนยันว่าไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด 
 
         หลังจากที่มีข่าวลือเกี่ยวกับเนย์มาร์ อย่างต่อเนื่อง ซานโต๊ส ก็ตัดสินใจที่จะจับกองหน้าตัวเก่งต่อสัญญากับสโมสรไปจนถึงเดือนธ.ค. 2014 พร้อมกับตั้งค่าตัวไว้ที่ 30 ล้านยูโร (ราว 1,280 ล้านบาท) 

          ขณะที่ เนย์มาร์ ยืนยันว่าตนขอมีสมาธิกับการเล่นให้ต้นสังกัดเท่านั้น แต่เอเย่นต์ของเขากลับอ้างว่าหัวหอกเนื้อหอมรายนี้ต้องการจะย้ายไปค้าแข้งในยุโรป  ณ เวลานี้ อนาคตของเนย์มาร์ ยังคงคลุมเครืออยู่ก็จริง แต่ดาวโรจน์แห่งวงการลูกหนังคงจะไม่หยุดอยู่แค่ในลีกบราซิลเป็นแน่แท้ รอลุ้นเพียงแค่ว่าทีมไหนจะโชคดีได้หัวหอกพรสวรรค์สูงรายนี้ไปร่วมทีมเท่านั้น  

 
          วันที่ 24 พ.ค. 2013 ซานโต๊ส ออกมาประกาศว่าได้รับข้อเสนอซื้อตัวเนย์มาร์ จากสองสโมสร ซึ่ง 3 วันถัดมาดาวยิงทีมขาติบราซิลก็ตกลงไปย้ายไปร่วมทัพบาร์เซโลน่า เมื่อวันที่ 24 พ.ค. 2013 ด้วยสัญญาระยะยาว 5 ปี โดยมีผลบังคับตั้งแต่วันที่ 3 มิถุนายน 2013 หลังจากผ่านการตรวจร่างกายกับทางทีมแพทย์

          ส่วนเรื่องค่าตัวการย้ายทีม อยู่ที่ราว 48.6 ล้านปอนด์ (ประมาณ 2187 ล้านบาท) นับเป็นค่าตัวสูงที่สุดเป็นอันดับ 9 ในประวัติศาสตร์การซื้อขายผู้เล่น พร้อมกับค่าฉีกสัญญา 190 ล้านยูโร (7600 ล้านบาท)
 
ประวัติทีมชาติ
 
          สำหรับผลงานในทีมชาติ เนย์มาร์ ติดทีมบราซิลชุดอายุไม่เกิน 17 ปี ในศึกชิงแชมป์โลกยู-17 เมื่อปี 2009 ซึ่งเขาก็โชว์ฟอร์มได้อย่างน่าประทับใจ จนถึงขั้นที่เปเล่ และ โรมาริโอ อดีตสองตำนานแข้งแซมบ้า ออกมาแนะให้ ดุงก้า กุนซือทีมบราซิลชุดใหญ่ หนีบเนย์มาร์ ไปเล่นในศึกฟุตบอลโลก 2010 รอบสุดท้าย แม้จะมีเสียงเรียกร้องจากสื่อและแฟนบอล แต่สุดท้าย ดุงก้า ก็เลือกที่จะไม่ใส่ชื่อกองหน้าซานโต๊สไปลุยศึกฟุตบอลโลกที่ประเทศแอฟริกาใต้ เนื่องจากมองว่ายังขาดประสบการณ์ในเกมระดับชาติ 

 
          ทว่า เมื่อวันที่ 26 ก.ค. 2010 มาโน เมเนเซส โค้ชคนใหม่ของทีมเซเลเซา ก็ให้โอกาส เนย์มาร์ ได้ติดทีมชุดใหญ่เป็นครั้งแรก ในเกมอุ่นเครื่องกับสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 10 ส.ค. ปีเดียวกัน โดยเขาได้ลงสนามเป็นตัวจริงและสามารถทำประตูได้ทันทีในนาทีที่ 28 ก่อนจะช่วยให้บราซิลคว้าชัยไป 2-0 หลังจากนั้น เนย์มาร์ ก็เหมาคนเดียว 2 ประตูในเกมที่พบกับ สกอตแลนด์ ที่เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม
 
          จากนั้น เนย์มาร์ ได้สร้างชื่อในศึกโอลิมปิก ที่สหราชอาณาจักรเป็นเจ้าภาพ เมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2012 ซึ่งแฟนบอลจากแดนกาแฟต่างคาดหวังกับทีมชุดนี้เป็นอย่างสูงว่าจะสามารถก้าวไปคว้าเหรียญทองให้ได้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ หลังจากจวนเจียนอยู่หลายสมัย

          ทว่า "แซมบา" ก็ยังคงไปไม่ถึงดวงดาวอีกครั้ง ด้วยการพ่ายต่อคู่รักคู่แค้นอย่างเม็กซิโก 1-2 ในรอบชิงชนะเลิศ พร้อมกับได้เพียงเหรียญเงินเท่านั้น ถึงแม้เนย์มาร์ จะโชว์เพลงแข้งได้อย่างยอดเยี่ยมด้วยการทำไป 4 ลูกตลอดทัวร์นาเมนต์ก็ตาม 


 
          อย่างไรก็ตาม กองหน้าดาวรุ่งยังคงพัฒนาการเล่นขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง จนมาระเบิดฟอร์มสุดยอดอีกครั้งในศึกคอนเฟเดอเรชั่นส์ คัพ 2013 ที่ตัวเองเป็นเจ้าภาพ โดยทัวร์นาเมนต์ดังกล่าว เนย์มาร์ ยังได้สวมเสื้อหมายเลข 10 ซึ่งเป็นเลขในตำนานของ "ไข่มุกดำ" เปเล่ และเจ้าตัวก็สามารถพาทีมเถลิงแชมป์เอาฤกษ์เอาชัยก่อนมหกรรมฟุตบอลโลกในกลางปีหน้า ด้วยการไล่ถล่มสเปน 3-0 ในนัดชิงชนะเลิศ อีกทั้งเนย์มาร์ ยังได้รางวัลนักเตะยอดเยี่ยมประจำศึกคอนเฟดฯ อีกต่างหาก

นักเตะที่ค่าตัวแพงที่สุดในโลก

 
 
 

Lionel Messi

ตั้งแต่สิ้นยุคของมหัศจรรย์ลูกหนังอาร์เจนไตน์ "เสือเตี้ย" ดีเอโก้ มาราโดน่า ก็มีนักเตะพรสวรรค์สายเลือดใหม่มากมายที่ถูกเปรียบเทียบกับเทพเจ้าลูกหนังรายนี้ แต่ดูเหมือนว่าในที่สุดมาราโดน่า ก็ได้พบกับทายาทที่แท้จริงจนได้กับเจ้าหนูมหัศจรรย์ "ลิโอเนล เมสซี่"
           ลิโอเนล เมสซี่ หรือในชื่อเต็มว่า ลิโอเนล อันเดรส เมสซี่ เกิดเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน ปี 1987 เป็นเมสซี่เป็นเด็กหนุ่มที่เกิดในแคว้นซานตา เฟ่ ที่เมืองโรซาริโอ ประเทศอาร์เจนติน่า 
           เจ้าหนูลิโอเนล หรือ "ลีโอ" เริ่มต้นเล่นฟุตบอลมาตั้งนับแต่ 5 ขวบ และได้อยู่กับสโมสรเล็กๆที่ชื่อว่า กรานโดลี่ ซึ่งมีพ่อเป็นโค้ชให้ จนกระทั่งในปี 1995 ก็ได้ย้ายไปอยู่กับสโมสรที่ใหญ่กว่าอย่างนีเวลล์ส โอลด์ บอยส์ เพื่อเรียนวิชาลูกหนังที่เข้มข้นกว่าเดิม
           เมื่อได้ย้ายมาสู่นีเวลล์ส โอลด์ บอยส์ สโมสรในระดับลีกสูงสุดของอาร์เจนติน่า เส้นทางของเจ้าหนูตัวเล็กรายนี้น่าจะไปได้สวยและมีโอกาสจะค่อยๆ ไต่ขึ้นไปสู่ทีมชุดใหญ่ได้ในอนาคตก้าวสู่เส้นทางลูกหนังตั้งแต่อายุ 11 ปี โดยไปร่วมสังกัดนีเวลล์ส โอลด์ บอยส์

           แต่ในขณะที่เมสซี่ กำลังจะไปได้ดี โชคชะตาก็เล่นตลกกับเขาอย่างจัง เมื่อร่างกายที่เล็กเกินกว่าเพื่อนร่วมรุ่นขาดพัฒนาการ ร้อนถึงพ่อต้องจับตรวจและพบว่าเมสซี่ มีปัญหาในเรื่องการเจริญเติบโตของร่างกาย เนื่องจากฮอร์โมนบางตัวได้ขาดไป และพ่อแม่ของเขาก็ไม่สามารถจ่ายค่ารักษาที่แสนแพงในอาร์เจนติน่าได้

           ในขณะที่หนทางกำลังจะตีบตัน ครอบครัวเมสซี่ ก็พบกับทางสว่าง เมื่อการ์เลส เรซัค ผู้อำนวยการด้านกีฬาของบาร์เซโลน่า ได้เห็นฟอร์มของเจ้าหนูมหัศจรรย์รายนี้และประทับใจกับพรสวรรค์ที่มีเหลือล้นในตัว เรซัค จึงได้ยื่นข้อเสนอให้ว่าทางบาร์เซโลน่า ยินดีที่จะจ่ายเงินค่ารักษาให้แต่ว่าเมสซี่ จะต้องไปอยู่ที่สเปน ครอบครัวเมสซี่ไม่ปฏิเสธโอกาสนั้น จึงได้ตัดสินใจเดินทางไปอยู่ที่สเปนพร้อมกันทั้งครอบครัว เพื่อไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ด้วยกัน

           ด้วยพรสวรรค์ ฝีเท้า และความเร็วในตัวเขา ทำให้เจ้าหนูเมสซี่ค่อยๆ ก้าวเป็นดาวเด่นในทีมระดับเยาวชนของบาร์ซ่า ก่อนจะถูกดันขึ้นสู่ทีมบาร์เซโลน่า บี อย่างรวดเร็ว


เส้นทางชีวิตของเมสซี่ ยังแรงและเร็วเหมือนจรวดทะยานขึ้นฟ้า เพียงแค่ไม่นานเขาก็กลายเป็นตัวหลักในทีมบี และทำผลงานเหลือเชื่อด้วยการยิงไปถึง 37 ประตูจากการเล่นแค่ 30 นัดเท่านั้น ฟอร์มการเล่นระดับนี้ไม่มีทางที่แฟรงค์ ไรจ์การ์ด นายใหญ่ทีม "เจ้าบุญทุ่ม" จะมองไม่เห็น และในปลายฤดูกาล 2004/05 ไรจ์การ์ ก็เปิดทางให้เจ้าหนูมหัศจรรย์รายนี้ได้เริ่มต้นลงมาสัมผัสเกมในทีมชุดใหญ่ ซึ่งเมสซี่ ก็ใช้เวลาไม่นานในการควานหาประตูแรกในนัดที่พบกับอัลบาเซเต้ ซึ่งก็เป็นประตูสุดสวยด้วยการกระดกข้ามหัวผู้รักษาเข้าไป และเป็นประตูที่ทำให้เมสซี่ เป็นเจ้าของสถิติผู้เล่นอายุน้อยที่สุดที่ยิงให้บาร์ซ่าได้ในวัย 17 ปี 10 เดือนกับอีก 7 วัน

           หลังจากที่ได้ประเดิมเกมกับบาร์ซ่าไปแล้ว เมสซี่ ก็กลับมาเป็นแกนหลักของทีมชาติเยาวชนของอาร์เจนติน่า หลังได้ปฏิเสธโอกาสที่จะเล่นให้ทีมชาติสเปนไปก่อนหน้านั้น และในรายการฟุตบอลเยาวชนชิงแชมป์โลกที่เนเธอร์แลนด์ เมสซี่ ก็สร้างปรากฏการณ์ขึ้น เมื่อสามารถร่ายลีลาลูกหนังได้อย่างน่าตื่นตาตื่นใจและทุกคนที่ได้เห็นก็ต้องอุทานว่านี่มันดีเอโก้ มาราโดน่า ที่เกิดใหม่ชัดๆ ซึ่งในรายการนี้เมสซี่ เป็นกำลังสำคัญที่สุดในการพาทีมฟ้าขาวคว้าแชมป์และคว้าทั้งรางวัลดาวซัลโวด้วยจำนวน 6 ประตู และยังได้รางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมประจำรายการด้วย

          ทันทีที่จบรายการดังกล่าว บาร์ซ่า ก็จัดแจงต่อสัญญายาวให้เมสซี่จนถึงปี 2010 ทันที โดยมีเงื่อนไขในการย้ายทีมสูงถึง 150 ล้านยูโร มากกว่าโรนัลดินโญ่ รุ่นพี่ที่เป็นนักฟุตบอลหมายเลขหนึ่งของโลกถึงกว่า 30 ล้านยูโรเสียอีก
และหลังจากนั้นไม่นาน ในวันที่ 4 ส.ค.2005 เมสซี่ ก็ถูกโฮเซ่ เปเกร์มาน เทรนเนอร์ทีมชาติอาร์เจนติน่า เรียกตัวติดทีมชาติชุดใหญ่ทันทีและได้ลงสนามนัดแรกทันทีในเกมกับทีมชาติฮังการี
แต่ก็เป็นเกมประเดิมสนามที่เลวร้ายอย่างน่าเหลือเชื่อสำหรับเมสซี่ เมื่อถูกใบแดงไล่ออกจากสนามเพียงแค่ 40 วินาทีเท่านั้นหลังลงเล่นเนื่องจากผู้ตัดสิน มาร์คุส แมร์ก เห็นว่าไปชักศอกใส่วิลมอส วานซัค กองหลังทีมแม็กยาร์ที่พยายามดึงเสื้ออยู่ ทำให้เจ้าหนูมหัศจรรย์ต้องเดินออกจากสนามทั้งน้ำตา

           อย่างไรก็ตาม เมสซี่ ไม่ได้ท้อแท้มากนักและกลับมาลงสนามใหม่ให้กับทีมชาติอาร์เจนติน่า ในเกมฟุตบอลโลกรอบคัดเลือกกับปารากวัย ในวันที่ 3 ก.ย. 2005 ซึ่งแม้จะได้เล่นเพียง 8 นาทีและแพ้ด้วยสกอร์ 1-0 แต่เมสซี่ ก็ถือว่านัดนี้เป็นการลงเล่นนัดแรกครั้งใหม่ของเขาในสีเสื้อฟ้าขาว
ถัดมาไม่นานในวันที่ 25 ก.ย. เมสซี่ ก็ได้เป็นพลเมืองของประเทศสเปน ทำให้สามารถที่จะลงสนามให้กับทีมบาร์เซโลน่าได้อย่างไม่ติดขัดอีก หลังต้องอดทนรอข้างสนามมานานนับเดือนเนื่องจากทีมบาร์ซ่า มีนักเตะนอกโควต้าอียูเกินที่กำหนดแล้ว และเมสซี่ ก็ก้าวมาเป็นกำลังหลักในทีมของไรจ์การ์ดทันที ในฐานะสามเหลี่ยมมหัศจรรย์ร่วมกับซามูแอล เอโต้ และโรนัลดินโญ่ นำบาร์ซ่า คว้าดับเบิ้ลแชมป์ทั้งลา ลีกา และยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้อย่างยิ่งใหญ่
ในปีนี้เมสซี่ ยังได้รับรางวัลโกลเด้น บอย จากนิตยสารตุตโต้ สปอร์ตด้วย และชื่อของเจ้าหนูมหัศจรรย์รายนี้ก็เป็นที่กล่าวขานกันในวงการฟุตบอล ซึ่งแทบไม่มีใครที่ไม่รู้จักลิโอเนล เมสซี่


           แต่ในปี 2006 เมสซี่ พบกับช่วงเวลาที่ไม่ดีนัก หลังกลับมาจากฟุตบอลโลกครั้งแรกในชีวิตด้วยความผิดหวังเนื่องจากอาร์เจนติน่า ต้องร่วงตกรอบ 8 ทีมสุดท้ายด้วยน้ำมือเจ้าภาพเยอรมัน แต่ตัวเขาเองก็พอจะทำผลงานได้ดีไม่น้อยโดยยิงได้ 1 ประตูในเกมกับเซอร์เบียแอนด์มอนเตเนโกร (ถล่มไป 6-0) และทำให้เป็นเจ้าของสถิติผู้เล่นที่อายุน้อยที่สุดที่ทำประตูได้ในฟุตบอลโลกครั้งนี้

           หลังจากนั้น เมสซี่ เกิดโชคร้ายได้รับบาดเจ็บในเกมยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก กับแวร์เดอร์ เบรเมน ถึงขั้นกระดูกเท้าแตกจนต้องพักการเล่นมาอย่างยาวนานหลายเดือนนับจากนั้น
อย่างไรก็ตาม เมสซี่ กลับมาลงเล่นได้อีกครั้งในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา และเป็นการกลับมาอย่างยิ่งใหญ่เมื่อทำแฮตทริกได้ในเกม "เอล กลาซิโก้" กับทีมเรอัล มาดริด ในนัดที่เสมอกับบาร์เซโลน่า 3-3 ที่คัมป์ นู ซึ่งทำให้เมสซี่ กลายเป็นผู้เล่นคนแรกในรอบนับสิบปีที่ทำแฮตทริกได้ในเกมนี้
นับตั้งแต่อีวาน ซาโมราโน่ ทำไว้เมื่อปี 1994-95 และหากนับของบาร์ซ่า ก็เป็นคนแรกตั้งแต่โรมาริโอ ทำได้เมื่อปี 1993-94 เลยทีเดียว และยังเป็นเจ้าของสถิติผู้เล่นอายุน้อยที่สุดที่ยิงได้ในเกมเอล กลาซิโก้ ด้วย

           แต่เรื่องราวที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเมสซี่ เกิดขึ้นหลังจากนั้นเมื่อทำได้คนเดียว 2 ประตูในเกมโคป้า เดล เรย์ กับเคตาเฟ่ ซึ่งหนึ่งในนั้นคือประสุดอัศจรรย์ด้วยการลากเดี่ยวจากครึ่งสนามฝ่าผู้เล่นเคตาเฟ่ 6 คนเข้าไปทำประตูอย่างเหลือเชื่อ ซึ่งเป็นประตูที่แทบจะถอดแบบประตูแห่งศตวรรษที่มาราโดน่า ทำได้ในฟุตบอลโลก 1986 ที่เม็กซิโก ในเกมรอบ 8 ทีมสุดท้ายกับทีมชาติอังกฤษ ที่ถือเป็นประตูในตำนานตลอดกาลของฟุตบอลโลกเลยทีเดียว


 
          หลังจากนั้นได้มีการนำสองประตูที่ว่ามาเปรียบเทียบกันแบบช็อตต่อช็อต และพบว่าเป็นประตูที่มาจากพิมพ์เดียวกันจริงๆทั้งจำนวนระยะทางที่เท่ากัน (62 เมตร) และยังเป็นการเลื้อยผ่านผู้เล่นเท่ากันคือ 6 คน (รวมผู้รักษาประตู) ยิงประตูจากมุมเดียวกัน แถมยังวิ่งไปฉลองการทำประตูที่มุมธงเหมือนที่มาราโดน่าทำอีกต่างหาก สิ่งเดียวที่แตกต่างคือมาราโดน่า แปด้วยเท้าซ้าย ส่วนเมสซี่ ยิงหักข้อด้วยเท้าขวา

           หนังสือพิมพ์ในสเปนถึงกับให้ฉายาใหม่แก่เมสซี่ว่า "เมสซี่โดน่า" ทีเดียวกับตำนานบทใหม่นี้ และทุกฝ่ายก็ต่างจับตามองเส้นทางของเจ้าหนูมหัศจรรย์คนนี้

            นอกเหนือจากการลากเลี้ยงสไตย์บาร์เซโลนาแล้ว ผลงานของเมสซี่ในช่วง 2007-2008 ไม่ค่อยมีใครจดจำนัก ส่วนหนึ่งเป็นเพราะว่าทางทีมต้นสังกัด บาร์เซโลนา ไปไม่ถึงไหน ตกรอบทุกรายการรวมถึงโดนทีมคู่รักคู่แค้นอย่าง เรอัล มาดริด แย่งแชมป์ไปด้วย ทำให้ไม่เป็นที่จับตามองเท่าไหร่นัก
            จนกระทั่งการเข้ามาคุมทีมของ โจเซ็ป กวาดิโอลาร์ และการจากไปของ แฟรงค์ ไรจ์การ์ด และ โรนัลดินโญ่ เป๊บ กุนซือคนใหม่ ทำอีท่าไหนไม่มีใครทราบ ส่งให้เจ้าหนูตีนระเบิดจากอาร์เจนตินา ยิงไปในฤดูกาลเดียวทั้งสิ้น 38 ประตู จ่ายให้ยิงอีก 18 ในจำนวนการลงสนามทั้งสิ้น 51 นัด!!! มีส่วนช่วยให้ทีมเจ้าบุญทุ่ม คว้าทริปเปิ้ลแชมป์ได้ในฤดูกาลที่ 2008/09

messi

        ชอตแห่งความทรงจำ หลังจากโชว์ฟอร์มอันตรายอยู่หลายช็อต ในที่สุด เจ้าหนูเมสซี่ ก็ส่งบอลเข้าสู่ตาข่ายเป็นลูกที่ 3 ลีลาการเล่นของเขาประทับใจถึงขนาดแฟนแอตเลติโก มาดริด ซึ่งเป็นเจ้าถิ่น ต้องลุกขึ้นปรบมือให้ ขณะที่เจ้าหนูตีนจรวดรายนี้ถูกเปลี่ยนตัวออกจากสนาม













 

วันศุกร์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2556

FC Barcelona

 

 
  

 รายชื่อนักเตะของสโมสรบาร์เซโลนา

 

เบอร์        ข้อมูลรายชื่อนักเตะ                   สัญชาติ          ตำแหน่ง             วันเกิด
1                 บิคตอร์ บัลเดส                         สเปน          ผู้รักษาประตู      14/1/1982
2                 ดาเนียล อัลเวส                      บราซิล           กองหลัง            6/5/1983
3                 เกราร์ด ปีเก้                             สเปน            กองหลัง           2/2/1987
4                 เชส ฟาเบรกัส                         สเปน            มิดฟิลด์             4/5/1987
5                 การ์เลส ปูโยล                         สเปน            กองหลัง          13/4/1978
6                 ชาบี เอร์นานเดซ                     สเปน            มิดฟิลด์           25/1/1980
7                 ดาบิด บีย่า                               สเปน           ศูนย์หน้า          3/12/1981
8                 อันเดรส อีเนียสต้า                   สเปน            มิดฟิลด์           11/5/1984
9                 อเล็กซ์ซิส ซานเชส                  ชิลี             ศูนย์หน้า          19/12/1988
10               ลิโอเนล เมสซี่                    อาร์เจนติน่า      ศูนย์หน้า          24/6/1987
11               ติอาโก้ อัลคันทาร่า                 สเปน            มิดฟิลด์            11/4/1991
12               โจนาธาน ดอส ซานโตส        เม็กซิโก           มิดฟิลด์            26/4/1990
13               โฆเซ่ มานูเอล ปินโต้              สเปน           ผู้รักษาประตู     15/11/1975
14                ฮาเวียร์ มาสเคราโน่           อาร์เจนติน่า       มิดฟิลด์            8/6/1984
15                มาร์ค บาร์ตร้า                        สเปน            กองหลัง           15/1/1991
16                เซอร์จิโอ บุสเก็ตส์                สเปน             มิดฟิลด์            16/7/1988
17                เปโดร โรดริเกวซ                  สเปน            ศูนย์หน้า            28/7/1987
18                ฆอร์ดี้ อัลบา                          สเปน            กองหลัง           21/3/1989
19                มาร์ติน มอนโตยา                  สเปน            กองหลัง           14/4/1991
20                อิบราฮิม อเฟลลาย            ฮอลแลนด์       มิดฟิลด์             2/4/1986
21                อาเดรียโน่                            บราซิล          มิดฟิลด์             26/10/1984
22                เอริก อบิดัล                         ฝรั่งเศส          กองหลัง           11/7/1979
23                อิซัค เกวนก้า                        สเปน             ศูนย์หน้า          27/4/1991
24                อันดรู ฟอนตาส                     สเปน             มิดฟิลด์           14/11/1989
25                อเล็กซานเดอร์ ซง               คาเมรูน           มิดฟิลด์            9/9/1987
26                อีลาย ซานเชซ                     สเปน            มิดฟิลด์             21/11/1990
27                คริสเตียน เตโญ                    สเปน            ศูนย์หน้า           19/8/1991
28                เซร์คิโอ โรแบร์โต้                 สเปน            มิดฟิลด์             7/2/1992
30                ราฟินญ่า                              สเปน            มิดฟิลด์             12/2/1993
                       

สนามฟุตบอลทีม Barcelona

          เริ่มแรกบาร์เซโลนาเล่นที่สนามกัมเดลาอินดุสเตรีย มีความจุราว 10,000 คน และสโมสรเห็นว่าสิ่งอำนวยความสะดวกยังไม่ดีพอกับสมาชิกที่เพิ่มขึ้น

          ในปี ค.ศ. 1922 ผู้สนับสนุนสโมสรมีเพิ่มขึ้นมากกว่า 20,000 คน และสนับสนุนเงินให้กับสโมสร ทำให้บาร์เซโลนาสามารถที่จะสร้างสนามใหญ่กว่า โดยสร้างสนามกัมเดเลสกอตส์ ที่มีความจุ 20,000 คน หลังจากสงครามกลางเมืองสเปน สโมสรเริ่มมีสมาชิกมากขึ้นและมีผู้เข้าชมการแข่งขันเป็นจำนวนมาก ทำให้มีการขยับขยายสนาม โดยขยายอัฒจันทร์ใหญ่ในปี ค.ศ. 1946 ขยายอัฒจันทร์ฝั่งทิศใต้ในปี ค.ศ. 1946 และสุดท้ายขยายอัฒจันทร์ฝั่งทิศเหนือในปี ค.ศ. 1950 หลังการขยับขยายครั้งสุดท้าย สนามเลสกอตส์สามารถจุคนได้ 60,000 คน                    หลังจากต่อเติมเสร็จ สนามเลสกอตส์ก็ไม่สามารถขยับขยายห้องได้เพิ่มขึ้นอีก และจากความสำเร็จในการเป็นผู้ชนะเลิศในลาลีกาติดต่อกันในปี ค.ศ. 1948 และ 1949 รวมถึงได้เซ็นสัญญากับนักฟุตบอล ลัสโซล คูบาลา ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1950 ที่ต่อมาเขายิงประตูให้กับสโมสร 196 ประตูใน 256 นัด ก็ยิ่งทำให้มีฝูงชนเข้ามาดูการแข่งขันมากขึ้น สโมสรจึงเริ่มวางแผนการสร้างสนามกีฬาแห่งใหม่ สนามกัมนอร์เริ่มก่อสร้างวันที่ 28 มีนาคม ค.ศ. 1954 วางศิลาฤกษ์ก้อนแรกโดยผู้ว่า เฟลีเป อาเซโด โกลังกา ที่ทำพิธีโดยอาร์ชบิชอปแห่งบาร์เซโลนา เกรโกเรียว โมเดรโก โดยใช้เวลาก่อสร้าง 3 ปี เสร็จสิ้นเมื่อวันที่ 24 กันยายน ค.ศ. 1957 ด้วยค่าก่อสร้างทั้งหมด 288 ล้านเปเซดา เกินงบประมาณ 336% 
          ในปี ค.ศ. 1980 มีการออกแบบสนามกีฬาใหม่เข้ากับเกณฑ์พิจารณาของยูฟ่า สโมสรได้หาเงินจากผู้สนับสนุนโดยจะสลักชื่อบนหินด้วยจำนวนเงินเล็กน้อย แนวคิดนี้ได้รับการตอบรับจากผู้สนับสนุน โดยมีคนหลายพันคนร่วมสนับสนุน แต่ต่อมากลายเป็นข้อพิพาทเมื่อสื่อในมาดริด ยกประเด็นนี้เมื่อมีหินก้อนหนึ่งที่สลักชื่อ ประธานของเรอัล มาดริด และผู้สนับสนุนจอมพลฟรังโก ชื่อ ซานเดียโก เบร์นาเบว เยสเต ต่อมาในการเตรียมงานสำหรับกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อน 1992 ได้มีการติดที่นั่ง 2 แถว เหนือแนวหลังคาเดิม ปัจจุบันสนามปัจจุคนได้ 99,354 คน เป็นสนามกีฬาที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป


เสื้อแข่งทีม Barcelona

 
 
                                       
 
 

 

 

เสื้อแข่งทีมเหย้า

 

Barcelona

 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 

                                       

เสื้อแข่งทีมเยือน

 

Barcelona